Aa
Aa
Aa

ตอนที่ 1 บทนำ

เผ่าเม่ย

 

แผ่นดินใหญ่จงเหิงถูกแบ่งออกเป็นสามแคว้น ทางตะวันออกคือแคว้นตงหลี ทางตะวันตกคือแคว้นซีหมิง ใจกลางแผ่นดินใหญ่คือแคว้นโม่หลิน ซึ่งแคว้นโม่หลินเป็นแคว้นที่มีอำนาจมากที่สุดและมีอาณาเขตที่กว้างที่สุด แคว้นซีหมิงคือลำดับถัดมา แม้จะมีอาณาเขตที่เล็กกว่าตงหลี แต่ก็มีความแข็งแกร่งด้านกองทัพ ตงหลีเป็นแคว้นที่อ่อนแอที่สุด แต่มีภูมิประเทศที่เหมาะกับการเกษตร ทางเหนือของแผ่นดินใหญ่มีภูเขาน้ำแข็งตัดกั้น ซึ่งมีชาวเผ่าเม่ยอาศัยอยู่อย่างสันโดษมาหลายชั่วอายุคน ทางใต้คือดินแดนหนานเจียง นับตั้งแต่สตรีศักดิ์สิทธิ์นามว่าเชียนอินหายตัวไป ดินแดนหนานเจียงก็มิได้จัดกิจกรรมรื่นเริงอีกต่อไป ผ่านมาเป็นเวลาร้อยปีแผ่นดินจึงได้สงบสุข

 

เผ่ากู่แห่งหนานเจียง

มีรูปร่างลักษณะคล้ายกับชนเผ่าอาศัยอยู่ทางตอนใต้ของแผ่นดินใหญ่ มีความเชี่ยวชาญในการทำกู่[1] และมีชื่อเสียงเรื่องการใช้กู่ ทั้งชนเผ่ายึดถือผู้นำชนเผ่าและสตรีศักดิ์สิทธิ์เป็นหลัก มักไม่ค่อยเปิดเผยตัว มีชีวิตอยู่ทางตอนใต้เป็นเวลานาน สตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นที่ 7 แห่งหนานเจียงนามว่าเชียนอินและผู้นำรุ่นที่ 7 นามว่าเม่ยอู๋ฉิงแห่งเผ่าเม่ยเป็นสหายที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้น แต่ท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ได้หายตัวไป และไม่มีข่าวคราวของพวกนางอีกเลย หลังจากที่สตรีศักดิ์สิทธิ์นามว่าเชียนอินแห่งหนานเจียงได้หายตัวไป ทั้งชนเผ่าก็ถูกโจมตีอย่างหนัก อยู่ในช่วงตกต่ำเป็นเวลานาน ทำให้หนานเจียงมิได้แข็งแกร่งอีกต่อไป ผู้นำชนเผ่าจึงได้หาทายาทที่เหมาะสมเพื่อให้ชาวเผ่าวางใจ และในที่สุดก็ได้เลือกให้ซือหรูซึ่งเป็นธิดาของผู้นำหมิง ผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาคนรุ่นใหม่เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์รุ่นถัดไป

เผ่าเม่ย

เผ่าเม่ย มีความลี้ลับกว่าเผ่าหนานเจียงกู่ มีจำนวนประชากรมากกว่าคนหนานเจียง และมีวิชาควบคุมจิตใจคนซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่น วิชานี้มีทั้งหมด 9 ระดับ หากฝึกถึงระดับที่ 7 ขึ้นไปจะสามารถใช้วิชาได้อย่างอิสระดั่งใจนึก และหากฝึกถึงระดับที่ 9 จะสามารถควบคุมจิตใจคนได้อย่างเสถียร ในช่วงที่ผู้นำชนเผ่าเม่ยรุ่นที่ 7 นามว่าเม่ยอู๋ฉิง กำลังฝึกวิชาไปถึงระดับที่ 9 แต่หลังจากที่ขาทั้งสองกลับไม่สามารถเดินต่อไปได้ นิสัยใจคอของนางได้เปลี่ยนไปอย่างมาก และไม่ได้ปรากฏตัวอีกต่อไป ภายหลังได้กำเนิดทายาทนามว่าเม่ยอู๋ซิน

 

บันทึกข้อความของตัวละคร

โม่ชิงหลี เรื่องของข้า ไม่เกี่ยวข้องกับเจ้า ขอแค่ไม่มีเจ้า แม้ทางเส้นนี้เต็มไปด้วยขวากหนาม ข้าก็จะไปต่อ ความรัก ความอ่อนโยน ความเผด็จการ และความผูกพันของเจ้า ข้าไม่ต้องการมันอีกแล้ว ปล่อยข้าไป และไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับข้าก็พอ สิ่งที่ข้าให้เจ้าได้ เจ้าไม่ต้องการมัน สิ่งที่เจ้าต้องการข้าเองก็ไม่สามารถให้เจ้าได้ ข้าไม่ได้ต้องการจะแก้แค้น ข้าเพียงต้องการใช้ชีวิตอย่างอิสระ แม้แต่การทำตัวใกล้ชิดเจ้าก็เป็นแผนการของข้า หลอกใช้เจ้าเพื่อให้ไปถึงเป้าหมาย โลกนี้มันช่างน่าเบื่อ ข้าจึงต้องหาอะไรสนุก ๆ ทำ มันจึงจะเรียกว่าชีวิต เพราะฉะนั้นชิงหลี หากเรายังเป็นมิตรกัน จงอย่าขัดขวางข้า หากเจ้าขัดขวาง เราคงต้องเป็นศัตรูกันจนวันตาย — เม่ยอู๋ซิน

เจ้ารู้ตัวหรือไม่ ว่าทำให้คนต้องเจ็บปวดมากเพียงใด ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดเจ้าจึงต้องตัดขาดจากโลกภายนอก ทั้งที่เจ้าเองก็สามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข อู๋ซิน หากเลือกได้ ข้าเองก็ไม่อยากจะรักเจ้า แต่ว่า ข้าก็ไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร นอกจากรักเจ้า เป็นเจ้าเองที่เข้ามาในชีวิตข้า สอนให้ข้าได้รู้จักความรัก ดังนั้นเจ้าจะทิ้งข้าไปไม่ได้ ต่อให้ต้องตาย ข้าก็จะไปกับเจ้า ข้าไม่ได้กลัวเลยแม้แต่น้อย ข้าไม่สามารถบังคับให้เจ้ารับรักข้าได้ แต่เจ้าเองก็ไม่สามารถหยุดข้าไม่ให้รักเจ้าได้ ข้ารู้ดีว่าเจ้าไม่ได้รักข้า แต่ข้าก็ไม่อาจไม่รักเจ้าได้เช่นกัน ต่อให้เจ็บหรือทุกข์เพียงใดก็ยอม ชีวิตนี้ของข้าได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว — โม่ชิงหลี

บางคนไม่ใช่ว่าเลือกที่จะไม่รักแล้วจะสามารถปล่อยวางได้ บางคนไม่ใช่ว่าเลือกที่จะรักแล้วจะสมหวัง หากเจ้าไม่ชอบเสียงดัง ข้าก็จะอยู่กับเจ้าท่ามกลางหุบเขาและป่าไม้ หากเจ้าชอบความคึกคัก ข้าก็จะอยู่กับเจ้าในเมือง ขอเพียงได้อยู่กับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นชีวิตแบบไหน ข้าก็รู้สึกว่ามันช่างหอมหวาน โชคชะตาของพวกเราได้ถูกกำหนดไว้แล้ว ความสุขของข้าขึ้นอยู่กับเจ้า ข้าสามารถบุกน้ำลุยไฟไปกับเจ้าได้ ขอเพียงได้เป็นคนที่อยู่เคียงข้างเจ้าก็พอ

 

การพบกันคือโชตชะตา เพียงตกหลุมรัก เจ้าก็ได้ขโมยชีวิตนี้ของข้าไปแล้ว เพียงสบตา เจ้าก็ได้เข้ามาอยู่กลางใจข้า ความเข้มแข็งได้แฝงอยู่ในความอ่อนแอ ความห่างเหินได้อยู่ภายใต้รอยยิ้ม ชีวิตนี้ได้ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว จะให้จากไปง่าย ๆ ได้อย่างไร

 

 

ทางเหนือของแผ่นดินใหญ่เต็มไปด้วยธารน้ำแข็งที่สลับซับซ้อน ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆขาว อีกฟากของหุบเขาหิมะ เป็นอีกภูมิประเทศหนึ่ง คล้ายกับเมืองเล็ก ๆ บรรยากาศบนถนนแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมโทรมของเมืองเล็ก ๆ แห่งนี้ ประชากรเบาบาง และผู้คนตามท้องถนนมีจำนวนนับคนได้ หากไม่มีควันในอากาศก็คงแทบจะเป็นเมืองร้าง เมืองเล็ก ๆ หรือที่เรียกว่าเมืองน้ำแข็ง มีธารน้ำแข็งหนุนหลังและหันหน้าออกสู่ทะเล อากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี และในฤดูหนาวจะหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิม

 

ภายในห้องหินที่เย็นเฉียบ มีเสียงไอของหญิงนางหนึ่งดังขึ้น “ท่านผู้นำชนเผ่า ได้เวลาทานยาแล้วขอรับ” เสียงที่เต็มไปด้วยความเคารพของเม่ยหลิงดังขึ้น เม่ยหลิงเป็นผู้อาวุโสแห่งเผ่าเม่ย และผู้ที่นั่งอยู่บนรถเข็นคือผู้นำแห่งเผ่าเม่ย นามว่าเม่ยอู๋ฉิง “วางลงเถอะ แล้วไปเรียกอู๋ซินมา” เม่ยอู๋ฉิงพูดด้วยเสียงที่แหบแห้ง “ขอรับ” ผู้อาวุโสมีท่าทีอึกอักลังเล แต่ในที่สุดก็เดินออกจากห้องหินไป

 

ผ่านไปครู่หนึ่ง เด็กหญิงในวัยแปดขวบก็เดินเข้ามาพร้อมใบหน้าที่เคร่งขรึมจริงจังราวกับเป็นผู้ใหญ่

“ท่านแม่” เด็กหญิงโค้งคำนับ

“อู๋ซิน วิชาควบคุมจิตใจของเจ้าฝึกเป็นอย่างไรบ้าง” เม่ยอู๋ฉิงถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา


“บรรลุระดับ 6 ใกล้เข้าระดับ 7 เจ้าค่ะท่านแม่” อู๋ซินตอบอย่างแน่วแน่

“ร่างกายรู้สึกเป็นอย่างไร”

 

“ร่างกายค่อนข้างหนักเจ้าค่ะ แต่หลังจากใช้วิชาควบคุมจิตใจกลับรู้สึกผ่อนคลายลง”

 

“ดีมาก เจ้ามีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม เพียง 8 ขวบ เจ้าก็สามารถทำได้เช่นนี้ หากฝึกวิชาถึงระดับ 7 เจ้าจะไม่มีความรู้สึกหนักหน่วงหรือเหนื่อยล้า ข้ามีภารกิจให้ทำ เจ้าจงเร่งฝึกไปให้ถึงระดับ 7 หากทำได้แล้วจงมาหาข้า”

 

“เจ้าค่ะ” อู๋ซินกล่าวรับด้วยความนับถือ และถอยออกมาหลังกล่าวจบ ความสัมพันธ์ของทั้งสองราวกับคนแปลกหน้าไม่มีผิด

 

เมื่ออู๋ซินเดินออกมา ก็ได้พบกับผู้อาวุโสซึ่งรออยู่ในสำนัก “คุณหนู เจ้า...ไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่” ผู้อาวุโสถามไถ่ด้วยความห่วงใย เมื่อพบเขา แววตาของอู๋ซินเริ่มมีประกายอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย “ท่านอาหลิงไม่ต้องกังวล ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”

 

“หากเจ้าไม่เป็นไรข้าก็สบายใจ งั้นข้าขอตัวก่อน เจ้าเองก็อย่าคิดโกรธเคืองท่านแม่ของเจ้าเลย นางเองก็ลำบากใจเช่นกัน” อู๋ซินแหงนหน้าขึ้นมองฟ้า “วางใจเถิดเจ้าค่ะท่านอาหลิง ข้าไม่ได้โกรธเคืองท่านแม่เลย”

 

“งั้นข้าขอตัวก่อนนะขอรับ” เม่ยหลิงพูดจบก็เดินออกจากสำนักไป ส่วนอู๋ซินเดินไปที่ริมทะเล แต่เนื่องจากเป็นฤดูหนาว น้ำแข็งจึงก่อตัวขึ้นหนาในทะเลกว้าง อู๋ซินทำได้แค่มองออกไปด้วยแววตาที่มีความหวัง

สามเดือนผ่านไป

ภายในห้องที่สร้างด้วยหิน “ไม่ได้ ข้าไม่เห็นด้วย อู๋ซินนางยังเด็ก ให้ออกไปฝึกวิชายังได้ แต่จะให้ไปแก้แค้นงั้นหรือ นางเพิ่งจะอายุไม่เท่าไร เรื่องการเสื่อมอำนาจลงของเผ่าเม่ยไม่เกี่ยวข้องกับนาง ท่านผู้นำ จงอย่านำความเคียดแค้นไปลงที่นาง นางเป็นเพียงแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น” เม่ยหลิงโต้กลับเสียงดัง

 

“ทำไมจะไม่ได้ พรสวรรค์ของนางไม่สามารถเทียบกับข้าได้ นอกจากนี้ หากไม่ใช่เพราะนาง เผ่าเม่ยของข้าจะตกอยู่ในสภาพแบบนี้งั้นหรือ” เม่ยอู๋ฉิงถามกลับ โดยไม่มีใครสังเกตเห็นอู๋ซินที่ยืนอยู่หน้าประตู

 

“ไม่ว่าจะอย่างใดก็ตาม ข้าไม่เห็นด้วย ข้าไม่มีทางยอมให้นางไปขอรับท่านผู้นำ ข้าขอตัว” เม่ยหลิงโค้งคำนับและเดินออกมา เมื่อเห็นอู๋ซินจึงชะงักไปครู่หนึ่ง และเดินผ่านนางไป อู๋ซินเดินมาถึงหน้าเม่ยอู๋ฉิงแล้วโค้งคำนับ “ท่านแม่”

 

“มาแล้วงั้นหรือ วิชาควบคุมจิตใจของเจ้าเป็นอย่างไร บรรลุระดับที่ 7 แล้วใช่หรือไม่”

 

“บรรลุแล้วเจ้าค่ะ”

 

“ดีมาก ข้ามีภารกิจให้เจ้าทำ”

“บัญชาของท่านแม่ ข้าจะทำมันอย่างเต็มที่เจ้าค่ะ” อู๋ซินก้มหัวตอบรับ

“ดีมาก ข้าต้องการให้เจ้าออกจากเมือง และลงไปทางใต้เพื่อตามหาผู้ที่ทำลายเผ่าเม่ยของเรา หนึ่งในนั้นได้เข้าร่วมกับหนานเจียง ส่วนคนอื่น เจ้าสามารถเข้าไปสืบค้นบันทึกในห้องหนังสือเอาเอง หรือจะถามจากเม่ยหลิงก็ได้ หลังออกจากหุบเขาไป เจ้าต้องตามหาและสังหารศัตรู ในช่วงเวลานี้ ต้องไม่มีความรู้สึกหวั่นไหว เพราะสิ่งนี้สิ่งเดียวจะพาเจ้าสู่หายนะ ข้าเกรงว่าเจ้าจะลืมภารกิจของตนเอง เพราะฉะนั้น นี่คือยาวิเศษ เป็นวิชาต้องห้ามที่ทำขึ้นมาจากโลหิตของเจ้าและข้า เมื่อเจ้ารับไป แม้ข้าจะไม่สามารถรับรู้ว่าเจ้าทำสิ่งใดอยู่ แต่หากอารมณ์ของเจ้ามีความเปลี่ยนแปลง ข้าก็จะสัมผัสมันได้” เม่ยอู๋ฉิงพูดจบจึงนำยาในมือยื่นให้อู๋ซินรับไปกิน

 

ในเช้าตรู่ของวันต่อมา ขณะที่อู๋ซินเตรียมตัวออกเดินทาง ก็พบว่าเม่ยหลิงได้มารออู๋ซินอยู่ที่หน้าประตูแล้ว

 

 “ขอโทษเจ้าค่ะท่านอาที่ทำให้รอนาน”

 

 “ไม่เป็นไรขอรับคุณหนู พวกเราเดินไปพูดไปเถิด”

 

“เจ้าค่ะท่านอา” คนร่างสูงใหญ่และเด็กหญิงร่างเล็กเดินคู่กันไปตามทางน้ำแข็ง

 

“ท่านอา ข้าอยากรู้ว่า เหตุใดท่านแม่จึงพูดว่าการที่เผ่าเม่ยล่มสลายลงเป็นเพราะข้า”

 

“มิใช่เพราะเจ้า อย่าได้คิดมากเลยสาวน้อย”

 

“ข้าเพียงอยากรู้ว่าก่อนหน้านี้มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”

 

เรื่องมันยาว เม่ยหลิงถอนหายใจเฮือกหนึ่งก่อนจะเล่า ตอนแรกท่านแม่ของเจ้าเป็นผู้มีพรสวรรค์แตกต่างจากผู้อื่น ผู้นำชนเผ่าคนก่อนซึ่งเป็นท่านปู่ของเจ้าทนที่จะเห็นนางอยู่ในดินแดนของเผ่าไปตลอดไม่ได้ จึงให้นางลงไปสัมผัสชีวิตทางใต้ ท่านแม่ของเจ้ากลายเป็นผู้มีชื่อเสียงไม่น้อยในยุทธภพโดยใช้เวลาเพียหนึ่งปีเท่านั้น ในเวลานั้น นางยังสาวและมีพละกำลัง จึงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าต้นไม้ใหญ่ต้านลมได้ ยิ่งมีชื่อเสียงก็ยิ่งตกเป็นเป้าโจมตี นางเป็นที่โดดเด่นในยุทธภพ และมีผู้คนตามจีบเป็นจำนวนมาก แต่นางกลับไม่เหลียวแลผู้ใด เมื่อเข้าสู่ปีที่สอง นางก็ได้พบคนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์แห่งหนานเจียงนามว่าเชียนอิน ทั้งสองมีเจตนารมณ์เดียวและกลายเป็นสหายเคียงข้างกัน

 

เป็นเพราะการเตือนสติของเชียนอินทำให้นางสงบนิ่งขึ้น และข่าวคราวที่เกี่ยวกับนางในยุทธภพก็น้อยลงเรื่อย ๆ ทั้งสองเคียงคู่และท่องยุทธภพไปด้วยกัน จากการสืบข่าวของผู้เยาว์ในเผ่าที่ติดตามนางไป ทำให้ผู้นำชนเผ่าคิดว่าไม่น่าจะเกิดปัญหาอะไร จึงไม่ปล่อยให้คนติดตามนางไป แต่ก็เพราะไม่มีผู้ติดตาม ในเวลาสามปีต่อมา นางก็ได้ตั้งครรภ์เจ้า อายุครรภ์ก็มากแล้ว เดินเหินไม่สะดวก และมีคนไล่ตามฆ่า คนในเผ่าซึ่งออกไปฝึกวิชาทางเหนือจึงได้เข้าไปคุ้มครองท่านแม่ของเจ้า

 

เมื่อผู้คนกลับไปส่งข่าวให้กับเผ่า ท่านผู้นำก็ได้นำกำลังพลไปสนับสนุน เมื่อได้รับข่าว ข้าเองก็รีบออกไป แต่เนื่องจากนางกำลังตั้งครรภ์เจ้าอยู่ การเดินทางจึงล่าช้ากว่าปกติมาก ท่านแม่ของเจ้าบอกให้ทุกคนปล่อยนางไว้ตามลำพังและกลับไปในเมืองก่อน แต่ไม่มีผู้ใดยอมไป เพราะนางเป็นสายเลือดเดียวของท่านผู้นำ และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับพลังจิตบริสุทธิ์ ยิ่งไปกว่านั้นคือนางกำลังตั้งครรภ์ เวลาเพียงไม่นานก็คงถูกจับได้แล้ว แม้ฝั่งตรงข้ามจะมีกำลังพลเยอะ ฝั่งเรากำลังพลน้อย แต่เป็นเพราะอากาศที่หนาวเย็น อีกฝ่ายไม่คุ้นชินกับภูมิประเทศ และคนของเผ่าเรามีฝีมือในการควบคุมจิตใจได้ค่อนข้างดี ทำให้พวกเขาต้องชะงักกำลังพลไปพักหนึ่ง

 

แต่ผู้ใช้พลังคนอื่น ๆ ไม่เหมือนกับท่านแม่ของเจ้าที่ไม่เหน็ดเหนื่อยแม้จะใช้พลังควบคุมจิตใจ พลังจิตของพวกเขาอยู่ได้ไม่นาน หลังใช้วิชาก็จะอ่อนเพลีย ต้องใช้เวลาเพื่อฟื้นฟูพลัง แต่ศัตรูไม่ปล่อยให้พวกเขาได้มีโอกาส และด้วยพลังที่แข็งแกร่งของศัตรู ทำให้ฝ่ายเราพ่ายแพ้ในที่สุด

 

ท่านแม่ของเจ้าไม่มีทางเลือกจึงใช้พลังจิตเพื่อให้ศัตรูเคลื่อนไหวช้าลง ข้าจึงอาศัยความรวดเร็วและใช้โอกาสนี้สังหารศัตรูไปได้หลายคน แต่ท่านแม่ของเจ้าต้านต่อไปไม่ไหว ศัตรูค่อย ๆ บุกเข้ามา และพวกเราเหลือกำลังพลที่ปกป้องท่านแม่ของเจ้าให้ถอยกลับมาเพียงสี่ห้าคนเท่านั้น



[1] กู่ () เป็นเหมือนของของไสยของจีน มาจากสัตว์มีพิษต่าง ๆ จำพวกแมลงมีพิษ มักนำมาใช้ในกิจกรรมทางไสยศาสตร์

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น