Aa
Aa
Aa

บทที่ 2

มาหมู่บ้านชิงซานครั้งแรก

 

เช้าตรู่วันต่อมาสหาย 2 คนก็มาถึง คนแรกคือสหายจางที่สำนักงานยุวปัญญาชน อีกคนคือผู้แทนพรรคของหมู่บ้านชิงซาน ถังเจี้ยนกั๋ว

 

สหายจางเป็นคุณลุงวัยกลางคนรูปร่างอ้วนเตี้ย เมื่อเห็นหลินซีเขาก็ถามออกมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง “ยุวฯหลิน ดีขึ้นหรือยัง? พวกเรามารับเธอออกจากโรงพยาบาล เรื่องครั้งนี้คงทำให้เธอไม่พอใจ ในฐานะที่เป็นตัวแทนของสำนักงานยุวปัญญาชน ฉันต้องขอโทษเธอด้วยนะ ขอโทษจริงๆ ถ้าเธอมีความต้องการอะไรก็ขอให้บอกมาได้เลย พวกเราจะช่วยเหลือเธออย่างแน่นอน คนนี้คือสหายถังเจี้ยนกั๋วเป็นเลขานุการพรรคสาขาของหมู่บ้านชิงซาน หลังจากเธอไปถึงหมู่บ้านชิงซานแล้วถ้าลำบากอะไรก็ไปหาเขาได้เลย”

 

หลินซีมองไปที่สหายจางเจ้าเล่ห์คนนั้น เธอรู้อยู่แก่ใจว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเพียงมารยาทเท่านั้น ไม่มีการกระทำอะไรชัดเจนเลย ให้เธอร้องของั้นเหรอ เธอเพิ่งมาถึงครั้งแรกเองนะ จะให้ขอได้อย่างไร?

 

หลินซีไม่แสดงสีหน้าอะไร หลังจากที่ทักทายกับทั้งสองคนตามมารยาทแล้วเธอก็เชิญให้นั่งลงคุยกัน ถังเจี้ยนกั๋วมองหลินซีตั้งแต่หัวจรดเท้า สาวน้อยคนนี้หน้าตาสะสวย ท่าทางดูเปราะบาง เฮอะ! ยุวชนที่มาปีนี้เป็นพวกทำงานไม่เป็นกันทั้งนั้น แต่ที่สาวน้อยคนนี้จากบ้านมาที่นี่คงไม่ง่ายเลย ยังไม่ทันทำอะไรก็บาดเจ็บเสียแล้ว คิดดูแล้วก็น่าสงสาร

 

ถังเจี้ยนกั๋วเอ่ยปากขึ้นมาก่อน “หัวหน้าจาง ยุวฯหลินคนนี้คงทำงานไม่ได้ไปสักพัก ถ้าเธอไม่สามารถทำงานได้ หมู่บ้านก็คงไม่สามารถแจกอาหารให้เธอได้! เกรงว่าแบบนี้อาจทำให้เกิดปัญหากับชีวิตประจำวันด้วย ฉันอยากถามหน่อยว่าเรื่องนี้ควรจัดการยังไง เรื่องนี้นายต้องให้คำตอบที่แน่ชัดกับพวกเราด้วยนะ!”

 

หลินซีมองถังเจี้ยนกั๋วแล้วยกนิ้วให้เขาในใจ เขาพูดสิ่งที่เธออยากเอ่ยออกมา

 

เรื่องนี้ไม่ต้องรีบร้อนหรอกสหายถัง นายเชื่อในองค์กรเถอะ พวกเราจะต้องสามารถจัดการงานขั้นต่อไปให้เรียบร้อยได้แน่ๆ แต่เรื่องนี้ยังต้องประชุมเพื่อหารือกันก่อน เพราะยังไงเสียเรื่องนี้ก็ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน! ตอนนี้พวกเราพายุวฯหลินกลับหมู่บ้านชิงซานกันเถอะ รอให้เข้าพักเรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หัวหน้าจางตอบด้วยคำพูดเป็นทางการทำให้หลินซีใจหายไปส่วนหนึ่ง

 

กว่าหลินซีจะนั่งรถไถนามาจนถึงหมู่บ้านชิงซานก็เกือบเที่ยงแล้ว ถังเจี้ยนกั๋วเชิญหลินซีเข้าไปทานข้าวที่บ้านเขาก่อน หลินซีปฏิเสธไม่ได้จึงตามเขาไป หลิ่วชุนเยี่ยนภรรยาของถังเจี้ยนกั๋วเป็นหญิงอายุ 30 กว่า เมื่อพบหลินซีเธอจึงเชิญเข้าบ้านด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ภายในบ้านเก็บกวาดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย มีเด็กน้อยสองคนเล่นเกมอยู่ในบ้าน พอเห็นหลินซีเข้าบ้านมาพวกเขาก็ลุกขึ้นยืน หลิ่วชุนเยี่ยนทักทายหลินซีแล้วให้เด็กๆ ช่วยยกน้ำอุ่นมาให้ หลังจากเธอพูดคุยกับหลินซีสองสามประโยคแล้วก็เรียกทุกคนมาทานข้าว

 

บนโต๊ะมีขนมปังแป้งข้าวโพดนึ่ง 1 ตะกร้า ผัดผักแห้งๆ 2 จาน ซุปผักดองคนละถ้วย หลินซีมองไปที่ขนมปังนึ่งที่มีจำนวนเท่ากับคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะอาหารซึ่งเท่ากับคนละอัน หลินซีไม่ได้ยื่นมือออกไปหยิบ หลิ่วชุนเยี่ยนจึงสบายใจขึ้นมาหน่อย ดูท่าทางแล้วเธอเป็นคนรู้จักวางตัว ตอนนี้หลินซีไม่มีส่วนแบ่งอาหาร อาหารที่ทานก็มีแต่อาหารของบ้านเธอทั้งนั้น

 

จากนั้นเธอจึง็็หยิบขนมปังหนึ่งอันยื่นให้หลินซี “ไม่ต้องเกรงใจหรอกจ้ะ กินเถอะ” หลินซีหิวแล้วแต่เธอไม่เคยกินขนมปังนึ่งที่หยาบขนาดนี้มาก่อน เธอแบ่งออกครึ่งหนึ่งแล้ววางกลับเข้าไปในตะกร้าพร้อมพูดกับหลิ่วชุนเยี่ยน “พี่หลิ่วคะ แค่นี้ก็พอแล้ว” รอยยิ้มของหลิ่วชุนเยี่ยนยิ่งจริงใจมากขึ้นอีก เธอเอ่ยขึ้นอย่างมีมารยาทอีกสองสามประโยค “แค่นี้จะไปพอที่ไหนกัน สาวๆ ในเมืองอย่างพวกเธอกินน้อยกันเสียจริงๆ จากนี้ไปพอต้องทำไร่ทำนาอยู่ที่นี่ก็กินเยอะเองนั่นแหละ” หลินซียิ้มแล้วก้มหน้าก้มตากินข้าว

 

พอทานอาหารเสร็จแล้วถังเจี้ยนกั๋วก็พาหลินซีไปที่พักยุวปัญญาชน ที่นี่อยู่ไม่ไกลจากบ้านของเขานัก บ้านดินเรียงกันเป็นทิวแถว ด้านนอกล้อมด้วยกำแพงต่ำๆ แถวหนึ่ง ถังเจี้ยนกั๋วอธิบายสถานการณ์ให้หลินซีฟัง “คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มีแต่ยุวปัญญาชนที่ย้ายมาทำงานนอกเมืองอย่างพวกเธอ พวกที่เพิ่งมาใหม่เดือนแรกจะกินเสบียงสนับสนุนที่แจกลงมา หลังจากนั้นจึงจะแลกอาหารได้ตามปริมาณงานที่ทำ ผักสามารถปลูกเองได้ ถ้าไม่พอก็ไปขุดผักป่ามาได้ ด้านหน้าที่นี่ติดกับแม่น้ำจิ่ง ด้านหลังก็ติดกับภูเขาซวงผิงจึงไม่ต้องห่วงเรื่องกิน ในตอนแรกที่ประสบปัญหาอดอยากพวกเราที่นี่ก็ไม่มีใครอดตายกันสักคน เธอได้มาที่นี่ถือเป็นโชคดี”

 

ใบหน้าหลินซีเปื้อนยิ้มแต่ในใจกลับก่นด่าเขา ไม่ใช่สิ ด่าระบบต่างหากที่พาเธอมาที่ห่วยๆ แบบนี้ แม่มันสิ แล้วยังต้องขุดผักป่าอีก เธอไม่รู้เรื่องพวกนี้มาก่อน ตอนนี้ตัวเธอก็ไม่มีอะไรในมือเลย วันต่อๆ ไปจะอยู่ยังไงล่ะเนี่ย

 

พอมาถึงที่พักยุวปัญญาชนก็เป็นเวลาพักเที่ยงพอดี ยุวปัญญาชนส่วนมากกำลังพักผ่อนกันอยู่ พอหลินซีมาถึงคนที่ยังไม่นอนก็เดินออกมา ถังเจี้ยนกั๋วแนะนำหลินซีให้กับยุวปัญญาชนหญิงคนหนึ่ง “คนนี้คือหานเหม่ยฟาง เธอคือยุวปัญญาชนที่มาคนแรกและเป็นหัวหน้ากลุ่มยุวปัญญาชนหญิงของพวกเธอด้วย” จากนั้นเขาก็พูดกับหานเหม่ยฟาง “คนนี้คือหลินซีคนที่บาดเจ็บ ตอนนี้ออกจากโรงพยาบาลแล้วแต่อาการบาดเจ็บนี้ก็ยังต้องรักษาไปอีกสักพัก พวกเธอเป็นยุวปัญญาชนหญิงเหมือนกันก็ฝากดูแลหน่อยนะ”

 

ได้ค่ะท่านผู้แทนฯ วางใจฝากเธอไว้กับฉันเถอะค่ะ ฉันจะดูแลยุวฯหลินเป็นอย่างดี” หานเหม่ยฟางรับปาก หลินซีมองเธอ หน้าตาของเธอดูเหมือนจะมีอายุราวๆ 20 กว่าปี รูปร่างสูง รอยยิ้มบนใบหน้าก็ช่างอ่อนโยน หลินซีเห็นดังนั้นก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน เมื่อถังเจี้ยนกั๋วฝากเธอเรียบร้อยแล้วก็กำชับหลินซีอีกสองสามประโยคก่อนจะจากไป

 

หานเหม่ยฟางจูงมือหลินซีแล้วพูดขึ้นอย่างกระตือรือร้น “ไปกัน ฉันจะพาเธอไปดูที่พัก ของเธออยู่ที่นั่นหมดแล้ว พวกเราไม่ได้แตะต้องอะไร อีกสักพักค่อยจัด ตอนนี้เธอขยับมือได้ข้างเดียวคงทำอะไรหลายอย่างไม่สะดวก มีอะไรที่ต้องการความช่วยเหลือก็บอกนะ รอให้เธอจัดของเรียบร้อยแล้วเดี๋ยวฉันจะพาเธอไปรู้จักกับทุกคน”

 

พอได้ยินว่าตัวเองยังมีกระเป๋าเดินทางอยู่หลินซีก็ดีใจ ตอนนี้เธออยากดูว่าเจ้าของเดิมมีของอะไรบ้างจนแทบอดใจไว้ไม่ไหว ไม่อย่างนั้นจากสภาพความเป็นอยู่ปัจจุบันเธอคงอดทนต่อไปไม่ไหวแน่

 

กระเป๋าเดินทางของเจ้าของเดิมมีไม่น้อยเลย มีกระเป๋าใบใหญ่สองใบแล้วยังมีม้วนที่นอนอีก ตอนนี้ทุกคนมองอยู่หลินซีจึงไม่สะดวกที่จะเปิดกระเป๋าออก แต่กระเป๋าที่บวมหนาก็แสดงให้เห็นว่าของด้านในจะต้องเยอะแน่ๆ

 

หลินซีจัดเตียงของตัวเองเรียบร้อยโดยได้ความช่วยเหลือจากหานเหม่ยฟาง แต่จะพูดให้ถูกกว่านี้ก็คือคั่ง (เตียงนอนที่ก่อด้วยอิฐ) แต่ละห้องมียุวปัญญาชนอาศัยอยู่ 3 คน ห้องนี้นอกจากเธอแล้วยังมีวังเสี่ยวเจินและอวี่หลินหลิน พวกเธอทั้งสามคนเป็นกลุ่มยุวปัญญาชนที่มาใหม่ทั้งหมด สามคนนอนบนคั่งใหญ่ 1 คั่ง กางที่นอนเรียงเป็นแถว หลินซีมาช้าเธอจึงต้องนอนตรงตำแหน่งปลายคั่ง

 

สองคนที่เหลือในห้องมองพวกเธอจัดของแต่ก็ไม่พูดอะไร ใบหน้าของวังเสี่ยวเจินเต็มไปด้วยความไม่พอใจ เธอกับอวี่หลินหลินสองคนกระซิบกระซาบกันเสียงเบาสองสามประโยค เมื่อทั้งสองคนจัดของเสร็จแล้วหานเหม่ยฟางก็พูดกับวังเสี่ยวเจินและอวี่หลินหลิน “มือของหลินซียังขยับไม่ได้ งานในห้องพวกเธอช่วยดูแลหน่อยแล้วกัน ช่วยตักน้ำอะไรประมาณนั้น ได้ไหม?” วังเสี่ยวเจินเบ้ปากด้วยความไม่พอใจนิดๆ “พี่หาน พวกเราก็เพิ่งมาเหมือนกันนะ ตอนนี้งานทำนาในทุ่งก็หนักแล้ว ต้องทำงานยุ่งทั้งวัน เหนื่อยจนเอวงอไปหมด พี่ยังจะให้พวกเราดูแลคนป่วยอีกเหรอ พวกเราทำไม่ได้หรอก” พูดจบก็หมุนตัวเดินออกไป

 

หานเหม่ยฟางโดนว่าด้วยความไม่พอใจจนทำให้สีหน้าของเธอดูอึดอัดใจ อวี่หลินหลินมองทั้งสองคนแล้วฝืนยิ้มออกมา จากนั้นก็เดินออกไปเช่นกัน ใบหน้าของหานเหม่ยฟางแดงขึ้นมาทันที ไม่รู้ว่าเพราะโกรธหรือเปล่า หลินซีจึงรีบทำให้สถานการณ์เย็นลงทันที “ไม่เป็นไรหรอกพี่หาน ฉันดูแลตัวเองได้ ทุกคนก็ลำบากกันหมด ฉันไม่กล้ารบกวนคนอื่นหรอกค่ะ” พอหลินซีพูดกับเธอแบบนี้ก็ทำให้ความประทับใจที่หานเหม่ยฟางมีต่อหลินซีดีมากขึ้นเล็กน้อย หานเหม่ยฟางตบไหล่เธอเบาๆ แล้วปลอบใจ “มีเรื่องอะไรก็มาหาฉันนะ ฉันพักอยู่ห้องติดกัน” หลินซีพยักหน้าขอบคุณเธอ

 

เมื่อปูผ้าห่มเรียบร้อยแล้วหลินซีก็ตามหานเหม่ยฟางไปทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ห้องที่ติดกับทางตะวันตกคือห้องครัว ในห้องนั้นมีเตาดิน 1 เตา ทุกคนผลัดกันทำกับข้าวเรียงตามลำดับ งานหาบน้ำให้ยุวปัญญาชนชายทำทั้งหมด แต่บ่อน้ำใกล้กับที่พักยุวปัญญาชนมาก ดังนั้นการใช้น้ำจึงสะดวกสบาย หากจะซักผ้าต้องไปซักริมแม่น้ำ น้ำในถังน้ำเอาไว้ใช้ดื่มในแต่ละวันเท่านั้น ในสวนมีแปลงปลูกผักเล็กๆ แปลงหนึ่งซึ่งทุกคนหาเวลาว่างมาจัดการ

 

ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่ยุวปัญญาชนสองสามคนก็ออกมาทักทายหลินซี หลินซีทำความรู้จักกับยุวฯหลิวเสียและโจวหลายตี้ที่อยู่ห้องเดียวกับพี่หาน ทั้งสองคนเจอกับหลินซีและถามอาการบาดเจ็บของเธอเล็กน้อย ส่วนคนที่พักอยู่ในห้องที่เหลือสองห้องเป็นยุวปัญญาชนชายซึ่งมีด้วยกัน 6 คน

 

เมื่อม่านประตูถูกเลิกขึ้นยุวปัญญาชนชายสองสามคนก็ออกมานำโดยฟางฉวนจื้อซึ่งเป็นยุวปัญญาชนที่มาถึงหมู่บ้านชิงซานคนแรก เขานับเป็นพี่ชายใหญ่ของที่นี่ แล้วยังมีหยวนเฮ่อ หวังเหอผิง หวังหยวน จ้าวเหิง ซุนอี้ ไม่คิดมาก่อนว่ายุวปัญญาชนในหมู่บ้านหนึ่งจะเยอะขนาดนี้ ฟางฉวนจื้อมองอาการตกตะลึงของหลินซีออกจึงชิงอธิบายกับหลินซีขึ้นมาก่อน “หมู่บ้านชิงซานเป็นหมู่บ้านใหญ่ แถมสภาพก็ไม่เลว ดังนั้นยุวปัญญาชนที่มาที่นี่ถึงได้เยอะเป็นพิเศษ หมู่บ้านอื่นมีคนน้อยกว่านี้มาก” หลินซีทักทายกับทุกคนทีละคนๆ ครั้งแรกที่เจอกันทุกคนยังเกรงใจกันอยู่

 

เมื่อแตรใหญ่ในหมู่บ้านดังขึ้นเหล่ายุวปัญญาชนก็แบกอุปกรณ์ทำนาไปทำงานกัน หลินซีนั่งอยู่บนคั่งแล้วถอนหายใจออกมายาวๆ จากนั้นก็เปิดกระเป๋าของตัวเองออก ในกระเป๋าเป็นเสื้อผ้าของเจ้าของเดิมทั้งหมด มีเสื้อผ้าครบทั้ง 4 ฤดูและมีของใช้ในชีวิตประจำวันเพิ่มมาอีกนิดหน่อย ในกระเป๋าผ้าใบหนึ่งบรรจุแป้งไว้นิดหน่อย หลินซีลองวัดน้ำหนักในมือดู ไม่เกิน 1 กิโลกรัม แล้วยังมีน้ำมันอีกน้อยกว่าครึ่งขวดที่ปิดฝาไว้อย่างแน่นหนา หลินซีควานหาอยู่นานจนในที่สุดก็ควานเจอกระเป๋าผ้าใบหนึ่ง พอเปิดออกดูก็เห็นว่ามีเงิน 10 กว่าหยวน แล้วยังมีคูปองอาหาร คูปองสบู่อีกหลายชั่ง (หน่วยน้ำหนักจีน) การที่เจ้าของเดิมสามารถมีสิ่งของพวกนี้ได้ ดูเหมือนว่าคนในครอบครัวของเจ้าของเดิมจะดีกับเธอไม่น้อย แต่เรื่องความทรงจำเกี่ยวกับครอบครัวเจ้าของเดิมนั้นก็ยังเลือนรางอยู่ หลินซีไม่รีบร้อน ตอนนี้การยืนหยัดอยู่ที่นี่ได้ถึงเป็นสิ่งสำคัญ

 

แต่เจ้าระบบนี่นอกจากการประกาศภารกิจแล้วก็ดูเหมือนว่าจะไม่มีฟังก์ชันอะไรอื่นเลย ในขณะที่หลินซีกำลังบ่นระบบที่ไม่มีประโยชน์อยู่ผู้นำระบบก็ตอบกลับมาในที่สุด “ตอนนี้ได้เข้าสู่โหมดภารกิจอย่างเป็นทางการแล้ว กรุณาตั้งใจฟังคำอธิบายของอีวานเพื่อช่วยเธอปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จได้ดีขึ้น” อยู่ดีๆ เสียงก็ดังขึ้นมา ทำเอาหลินซีตกใจจนกระโดดตัวลอย

 

เรื่องแรกที่หลินซีต้องทำก็คือสำรวจรอบด้าน เธอกลัวว่าจะมีคนสังเกตเห็นความผิดปกติของเธอมากที่สุด อีวานยังคงใช้น้ำเสียงเย็นเยียบอธิบายต่อ “วางใจได้ ไม่มีใครหาฉันเจอหรอก ระบบได้ต่อกับคลื่นสมองของเธอโดยตรง เธอไม่จำเป็นต้องพูด แค่สื่อสารผ่านการนึกก็จะสามารถสื่อสารกับฉันได้” หลินซีได้ยินดังนั้นก็สบายใจ แต่ทันใดนั้นเธอก็ค้นพบปัญหาขึ้นมาอีก “งั้นก็แสดงว่านายสามารถจับตามองความคิดของฉันที่ไหนตอนไหนก็ได้อย่างนั้นสิ?”

 

ไม่ได้หรอก พวกเรามีกฎของตัวเอง”

 

“อ๋อ...” หลินซีสบายใจขึ้น ถ้าเธอถูกจับตาดูตลอดเวลาจริงคงจะน่ากลัวมาก

 

อีวานทนความตกอกตกใจของหลินซีไม่ไหวจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นๆ “ตอนนี้เริ่มฟังดีๆ นะ ภารกิจที่เธอต้องทำให้สำเร็จคือภารกิจช่วยเหลือ เธอต้องทำการช่วยเหลือบุคคลเป้าหมายเพื่อช่วยให้เขาเติบโตจนกระทั่งสำเร็จภารกิจทั้งหมด ทุกครั้งที่ทำภารกิจย่อยสำเร็จ 1 ภารกิจเธอก็จะได้รางวัลจากระบบ ขอให้เธอพยายามเข้าแล้วกัน”

 

บุคคลเป้าหมายคือใคร?” หลินซีถามอย่างใจร้อน

 

เมื่อเจอบุคคลเป้าหมายระบบจะแจ้งเตือนเอง”

 

แล้วรางวัลคืออะไร?” หลินซีถามต่อเพราะกลัวว่าระบบจะหายไปอีก

 

ถึงเวลาเธอก็จะรู้เอง” พอพูดประโยคนี้จบหลินซีก็ได้ยินเสียง “ติ๊ด” รอบหนึ่ง เธอจึงรับรู้ได้ว่าระบบปิดแล้ว หลินซีควบคุมความร้อนรนในใจไว้ เธอไม่เคยเจอระบบที่หยิ่งขนาดนี้เลย พูดเยอะหน่อยจะตายหรือไง? ตายหรือไง?? ตายหรือไง???.

Comment

  • ไม่มีคอมเม้น