ตอนที่ 1
รับศิษย์
“ติ่ง ระบบเซียนหมื่นวิถีอยู่ระหว่างการดาวน์โหลด.......”
“ระบบเซียนหมื่นวิถีอยู่ระหว่างการแยกข้อมูล 10%......”
“30%......”
“100% ติดตั้งสำเร็จ! ยินดีต้อนรับสู่การใช้ระบบเซียนหมื่นวิถี อย่าลืมช่วยให้ห้าดาวในการประเมินด้วยนะคะ ! ”
เฉินหมิงแสดงสีหน้าโง่งมขณะฟังเสียงอันนุ่มนวลของพี่สาวแสนสวยที่ดังขึ้นในหัว
นี่มันสถานการณ์บ้าบออะไรกัน นี่ผมกำลังจะข้ามภพงั้นเหรอ ?
เฉินหมิงฉายสีหน้าจนใจ เมื่อก่อนนี้เขาเป็นเพียงเด็กกำพร้า ที่หลังจากเรียนจบก็เริ่มทำงาน มีชีวิตที่เรียบง่ายไม่ซับซ้อน ชอบอ่านนิยายแนวคลายเครียด เขาจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาได้อ่านนิยายเล่มหนึ่ง ในขณะที่ดื่มน้ำอยู่ด้วยความไม่ระวังทำน้ำหกใส่ปลั๊กไฟ จนถูกไฟดูด ต่อมาก็ได้ยินเสียงจากระบบของพี่สาวแสนสวย
ความทรงจำฉากหนึ่งฉายเข้ามาในหัวราวกับหนังม้วนหนึ่ง เฉินหมิงมี ขอบเขตการฝึกปรืออยู่ในสุดยอดขอบเขตลำดับที่สอง อายุยี่สิบสามปี เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดผู้อาวุโสของสำนักหมื่นกระบี่ นอกจากเจ้าสำนักแห่งสำนักหมื่นกระบี่ ก็มีพวกเขาทั้งสี่ที่มีตำแหน่งสูงสุด บุพการีล้วนยังมีชีวิตอยู่ดี ท่านปู่ก็เป็นถึงผู้สำเร็จราชการในยุคสมัยนั้น มีทรัพย์สมบัติใช้ได้ไม่จำกัด อีกทั้งตัวเองยังเป็นที่รักของท่านปู่เป็นอย่างมาก! แม้อายุยังน้อย แต่เป็นผู้มีชื่อเสียงเลื่องลือ เนื่องจากอายุยังไม่ถึงยี่สิบสามปีก็บำเพ็ญตบะจนถึงขอบเขตสู่วิถีขั้นที่สอง จึงได้เป็นหนึ่งในสี่สุดยอดผู้อาวุโสแห่งสำนักหมื่นกระบี่อันสูงศักดิ์ อีกทั้งยังเป็นผู้ถือครองกายากระบี่โบราณ สำเร็จจิตกระบี่วิถีราชันย์ เป็นผู้ใช้เพลงกระบี่ราชันย์พิสุทธิ์ได้อย่างเลิศล้ำสุดหยั่งคาด จนได้รับการยกย่องให้เป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ของแคว้นเหยียน มีพรสวรรค์ลึกล้ำจนไม่อาจประเมินได้ ทั้งยังเป็นที่เลื่อมใสของผู้คน
การฝึกปรือจะมีด้วยกันทั้งหมดสี่สุดยอดขอบเขต ขอบเขตกลิ่นอายวิถี ขอบเขตสู่วิถี ขอบเขตบรรลุวิถี และขอบเขตหลุดพ้น
แต่ว่าเมื่อผมข้ามภพมาก็เป็นผู้ที่อยู่ในขอบเขตสู่วิถีขั้นที่สองแล้ว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน? ให้ตายเถอะ พอข้ามภพมาปุ๊ปก็มีดัชนีทองคำ[1]ปั๊ป ทั้งยังมีไอ้หน้าโง่ที่รู้อยู่แก่ใจว่าสู้คุณไม่ได้มาบอกว่าจะฆ่าคุณให้ตายงั้นเหรอ? จากนั้นก็กลายเป็นตัวละครเอกที่มีความแค้นและความเกลียดชังอยู่เต็มอก ทำการเก็บเกี่ยวสมบัติวัตถุไปตบหน้าจนเลเวลอัพเหรอไง? แล้วมันจะไปมีตัวละครเอกที่ไหนที่ข้ามภพมาก็เป็นผู้ที่อยู่ในสุดยอดขอบเขตลำดับที่สองกันล่ะ? กระทั่งด่านของขอบเขตลำดับที่หนึ่งก็ยังไม่เคยผ่านเลยด้วยซ้ำ! อีกอย่างที่เคยบอกไปตอนต้นแล้วว่า ตัวละครเอกมักจะมีแนวทางการฝึกปรือที่สุดโกงอย่างเคล็ดวิชาประหลาดพิสดารด้วยไม่ใช่เหรอ? แต่ที่ตัวเองฝึกปรือมากลับเป็น สินค้าตามแผ่นดินใหญ่[2]กันนี่สิ !
อีกทั้งบุพการีของผมยังอยู่ดีมีสุข! ด้วยชาติกำเนิดแบบนี้ แทบจะไม่มีคำว่าอนาถเลยด้วยซ้ำ แม้เพียงครึ่งส่วนก็หาได้มีส่วนไหนที่เหมือนตัวละครเอกไม่!
นี่แทบจะไม่ใช่แบบฉบับที่ควรจะเป็นเลยด้วยซ้ำ !
ขอเพียงแค่คุณปู่ตายไป หรือไม่ก็เป็นเจ้าสำนักคนต่อไปของสำนักหมื่นกระบี่ ไม่ก็เป็นจ้าวผู้ปกครองทั่วทั้งโลกา ไม่แน่ว่าอาจสังหารตาเฒ่าจักรพรรดิ แล้วตั้งตนขึ้นเป็นจักรพรรดิองค์ใหม่ แน่นอนว่าขุนนางฝ่ายบุ๋นบู๊ย่อมไม่คิดคัดค้าน ทั้งยังอาจจะปลาบปลื้มจนหลั่งน้ำตานองหน้า
ถ้าหากผมแข็งแกร่งไม่มากพอ นั่นคงถูกตัวละครเอกยัดเหยียดความแค้นบนถูกต้องจนเกิดเป็นฉากสงครามนองเลือดจากการต่อสู้ขึ้น! แต่หากผมแข็งแกร่งมากพอ อย่างนั้นความถูกต้องก็จะกลายเป็นว่าแม้กระทั่งในเวลาที่เหยียบกระบี่เหินบินเพียงแค่ถ่มน้ำลายออกไปคำเดียวก็ถมรดบุพการีตัวละครเอกจนตายได้ จากนั้นก็จะถูกตัวละครเอกฆ่าตายเป็นฉากๆนะสิ!
แต่ถ้าฉวยโอกาสฆ่าตัวละครเอกทิ้งไปตั้งแต่ตอนที่ยังอ่อนแอเยาว์วัย เดี๋ยว เดี๋ยว เดี๋ยว คุณกำลังล้อเล่นอะไรกันอยู่? คุณก็รู้ว่าตัวละครเอกมักมีอะไรที่เป็นประกายอันเจิดจ้าไม่ใช่หรือ? ต่อให้ตัวผมได้เป็นผู้ถือครองกายากระบี่โบราณ จิตกระบี่วิถีราชันย์ กระบี่ราชันย์พิสุทธิ์ หรืออะไรก็ตามแต่ที่ฟังดูแล้วสุดยอดเสียเหลือเกิน แต่ถ้าเกิดไปปะทะกับตัวเอกที่มีพลังสุดโกงเข้า ก็ไม่ต่างอะไรจากการหาที่ตายหรอกหรือ? ด้วยพลังต่อสู้ของตัวละครเอกมีหรือที่จะพูดกับคุณด้วยเหตุผล? อีกทั้งต่อให้สู้ตัวละครเอกไม่ได้ ก็ยังพอหนีได้อยู่ แต่ผีสางตนไหนกันที่จะไปรู้ได้ว่าตัวละครเอกนั้นอาจจะมีดวงตาสุนัขที่มองเห็นเส้นทางการหลบหนีของผม!
หากเป็นไปตามประสบการณ์ที่เฉินหมิงเคยอ่านนิยายมาตลอดหลายปี ถ้าหากต้องตกอยู่ในห้วงอันตรายแบบนี้ แล้วยังต้องมาพะวงเป็นห่วงว่าจะมีชีวิตรอดอยู่ในโลกใบนี้ได้โดยไม่ถูกตัวละครเอกตีจนตาย ก็คงมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเกาะแข้งเกาะขาตัวละครเอกเอาไว้ให้แน่นอย่าได้ปล่อย
แต่ว่าการจะให้ตัวละครเอกมาเป็นผู้ติดตาม ก็ดูจะน่าขายหน้าอยู่บ้าง อีกทั้งถ้าหากไปตามแบบฉบับที่เคยมีอยู่แล้วละก็ ด้วยความหล่อเหลาของตัวผม การคอยเอาอกเอาใจตัวละครเอกกลับมิใช่กลายเป็นว่าส่งตัวเองขึ้นเตียงกันหรอกหรือไง?
“ติ่ง เริ่มต้นระบบ เนื่องด้วยผู้อุปถัมภ์สามารถรับศิษย์ได้หนึ่งคน ประกาศแจ้งภารกิจที่หนึ่ง รับศิษย์หนึ่งคน! รางวัล : คะแนนจริยธรรมสิบแต้ม”
เฉินหมิงเอ่ยขึ้นในใจด้วยความสงสัย : “คะแนนจริยธรรมนี้มีประโยชน์อะไร? ”
“ติ่ง คะแนนจริยธรรมจะใช้เพื่อบรรลุเคล็ดวิชา และวิชาเวทมนตร์อภินิหาร เนื่องจากผู้อุปถัมภ์ได้ผูกมัดกับระบบเซียนหมื่นวิถี สถานะของผู้อุปถัมภ์จะเกิดความเปลี่ยนแปลงอัตโนมัติได้อย่างไร้ขีดจำกัด ทั้งยังสามารถฝึกปรือเคล็ดวิชาทุกอย่างในโลกได้ เมื่อศิษย์ในความดูแลทะลวงเข้าสู่หนึ่งในสุดยอดขอบเขตพลังได้หนึ่งระดับ จะได้รับโอกาสในการสุ่มรางวัลหนึ่งครั้ง!”
เฉินหมิงครุ่นคิดขึ้นในใจ เขาเองก็สังเกตเห็นสิ่งที่เรียกกันว่า บรรลุ นี้แล้ว นั่นหมายความว่าขอเพียงเขามีแต้มจริยธรรมที่มากพอ เขาก็จะสามารถบรรลุเคล็ดวิชาหรือวิชาเวทมนตร์อภินิหารสักแขนงได้ในพริบตา !
อีกทั้ง ยังเป็นที่ชัดเจนเลยว่าผมยังสามารถรับตัวละครเอกสักหลายคนมาเป็นลูกศิษย์ กระทั่งผมเองก็ยังรู้สึกเลื่อมใสในสติปัญญาอันเฉียบแหลมของตัวเอง!
ยังมีใครที่จะสูงส่งได้ยิ่งกว่าอาจารย์ของตัวละครเอกอีกล่ะ ยังมีใครกันอีก!
ณ ใจกลางหุบเขาลึก หอคอยศิลาขนาดใหญ่โต ซ่อนเร้นอยู่ภายในเมฆหมอกของใจกลางภูผาสูงใหญ่ หอคอยศิลามีความสูงนับพันจั้ง[3] กว้างพันจั้ง มีลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส
ที่ด้านบนหอคอยศิลา มีผู้เยาว์หลายพันคนเงยหน้าขึ้นจ้องมองไปที่หอคอยสูงแห่งนี้ ที่ด้านบนหอคอยสูง ยังมีเซียนสิบกว่าท่านกำลังนั่งประจำการอยู่ เซียนเหล่านี้จะมาเป็นอาจารย์ของผู้ฝึกตนอย่างพวกเขาที่ต้องการจะกราบเป็นศิษย์ เพื่อร่ำเรียนวิถีอันยิ่งใหญ่ ฝึกปรือสู่การเป็นเซียน
ภายในดวงตาของเหล่าผู้เยาว์เผยอารมณ์ของความตื่นเต้นออกมา ถ้าหากถูกบรรดาเซียนอันสูงศักดิ์ต้องตา นับจากนี้ก็จะได้เป็นบุคคลที่เป็นเทพเซียน ซึ่งหลุดพ้นจากปุถุชนสามัญแล้ว!
ที่นี่ก็คือสำนักหมื่นกระบี่ และเฉินหมิงเอง ก็เป็นเซียนที่อยู่บนหอคอยสูง
เมื่อตัดสินใจได้ เฉินหมิงก็เริ่มมองไปยังเหล่าผู้เยาว์ที่ดูน่าสนใจเหล่านี้ หลี่ฉางเกิงที่อยู่ด้านข้างเมื่อเห็นเฉินหมิงที่จู่ๆก็มีความสนใจต่อผู้เยาว์เหล่านี้ ก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจว่า : “ผู้อาวุโสเฉิน ในครั้งนี้ท่านคิดที่จะรับศิษย์หรือไร? ”
เนื่องด้วยก่อนหน้านี้เฉินหมิงยังไม่เคยรับศิษย์มาก่อน ทั้งยังทุ่มเทจิตใจเพื่อการฝึกปรือ การรับศิษย์เอาไว้มีแต่จะเป็นตัวถ่วงในการฝึกปรือของตนเองเท่านั้น ในครั้งนี้เมื่อพบว่าเฉินหมิงบังเกิดความสนใจต่อผู้เยาว์เหล่านี้ ก็อดไม่ได้ที่จะตกใจระคนสงสัย
เฉินหมิงจึงหัวเราะด้วยความเคอะเขินพร้อมตอบว่า
“อายุของข้าผู้ชราก็ไม่น้อยแล้ว คงถึงเวลาที่จะรับศิษย์แล้ว มิเช่นนั้นวันข้างหน้าหากข้าผู้ชราตายไป แล้วไม่มีใครไปส่งดวงวิญญาณสู่ปรภพก็คงจะเป็นที่น่ากระอักกระอ่วนใจ หากได้รับหยกชิ้นงามเปี่ยมพรสวรรค์ มาอยู่ในความดูแล ก็ย่อมสร้างตำนานอีกบทสืบต่อได้อีก”
เส้นผมที่ขาวโพลนของหลี่ฉางเกิงขับให้ใบหน้าดูหล่อเหลา และเปี่ยมไปด้วยปัญญา เขาพินิจผิวพรรณที่ผุดผ่อง ร่างกำยำของเฉินหมิง ที่ยังอยู่ในขอบเขตสู่วิถี ทำให้มีอายุขัยอยู่ได้ถึงสามร้อยปี เจ้าเพิ่งจะอายุแค่ยี่สิบสามปี หากคำนวณในมุมมองของขอบเขตสู่วิถี เจ้ายังคงเป็นทารกน้อยอยู่เลยนะ เจ้าเรียกตัวเองว่าข้าผู้ชรา จะให้ตาแก่อย่างข้าที่มีอายุมานานกว่าสองร้อยปีเรียกตัวเองว่ากระไร มิใช่ตาแก่ตายยากแง้มฝาโลงแล้วหรอกหรือ
หลี่ฉางเกิงหัวเราะด้วยความกระอักกระอ่วน แล้วกล่าว : “ก็ใช่ ผู้อาวุโสเฉินท่านที่เป็นถึงหนึ่งในสี่สุดยอดผู้อาวุโสของสำนักหมื่นกระบี่เรา แต่กลับหาได้มีศิษย์แม้สักคนเดียว จะว่าไปก็ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ยังไงก็ดูกันเถอะว่าจะมีผู้เยาว์คนใดพอจะมีวาสนาเช่นนั้นกันเล่า”
ผู้อาวุโสผู้ซึ่งเป็นผู้ควบคุมที่มองไปยังหอคอย เมื่อได้ยินว่าเฉินหมิงคิดจะรับศิษย์ ก็ทอสีหน้าแตกตื่น ถึงกับโคจรวิถีพลังเพื่อเปล่งเสียงตะโกนกล่าวออกมาว่า : “ผู้เยาว์ทั้งหลาย ในครั้งนี้พวกเจ้าช่างโชคดีเหลือเกิน สุดยอดผู้อาวุโสที่เยาว์วัยที่สุดของสำนักหมื่นกระบี่เรา ทั้งยังเป็นหลานชายแห่งผู้สำเร็จราชการของแคว้นเหยียน ผู้อาวุโสเฉินมีความคิดที่จะรับศิษย์แล้ว ! ”
เมื่อทราบข่าวว่าเฉินหมิงจะรับลูกศิษย์ บนสีหน้าของเหล่าผู้เยาว์ต่างก็เผยความยินดีออกมา พวกเขาล้วนเคยได้ยินตำนานอันยาวไกลของเฉินหมิงกันมาก่อน ถ้าหากได้ฝากตัวเป็นศิษย์ในความดูแลของเฉินหมิง เช่นนั้นก็แทบจะไม่ต่างอะไรไปจากได้ติดปีกโบยบิน!
เฉินหมิงมองไปยังผู้เยาว์ที่อยู่ข้างล่างของหอคอยอย่างลวกๆ เวลาผ่านเลยไปถึงหนึ่งวัน ในที่สุดพรสวรรค์ ความสามารถและชาติกำเนิดของเหล่าผู้เยาว์ก็ถูกบันทึกเป็นสถิติเอาไว้จนเสร็จสิ้น
หลี่ฉางเกิงยื่นรายชื่อที่เป็นบันทึกสถิติมาไว้ในมือของเฉินหมิง แล้วกล่าว : “รายชื่อผู้เยาว์ที่มีคุณสมบัติเข้ามาฝึกปรือในสำนักหมื่นกระบี่เราถูกบันทึกเป็นสถิติไว้อยู่ในนี้แล้ว ผู้อาวุโสเฉิน เจ้ายังไม่เคยรับศิษย์มาก่อน ก็ให้เจ้าเลือกก่อนก็แล้วกัน”
เฉินหมิงรับรายชื่อสถิติมา สิบอันดับแรกกลับไม่ใช่พวกที่มีชาติตระกูลอันยอดเยี่ยมอะไร แต่กลับเป็นผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์สุดล้ำ อีกทั้งที่จัดอยู่ในอันดับหนึ่งยังเป็นผู้ที่มีกายากระบี่อาญาสิทธิ์อีกด้วย
เดิมทีหลี่ฉางเกิงยังคิดว่าเฉินหมิงจะเลือกศิษย์ที่อยู่ในรายชื่อสิบอันดับแรก ผู้ใดจะไปทราบว่าเฉินหมิงจะเริ่มไล่รายชื่อจากหน้าสุดท้าย
เพื่อดูศิษย์ที่เหยียบธรณีประตูสู่สำนักว่ามีจำพวกใดกันบ้าง ตามความเข้าใจของเขา ตัวละครเอกมีหรือที่จะจัดอยู่อันดับแรกกับเด็กน้อยเหล่านั้นกันได้ อันดับที่หนึ่ง เป็นไปไม่ได้ ถ้าหากอยู่อันดับหนึ่งแล้วละก็ ในเวลาที่ตัวละครเอกอยู่ในสำนักจะไปสู้กับปีศาจเล่า? ผู้มีกายากระบี่อาญาสิทธิ์คนนี้ไม่ว่าจะดูยังไงก็เหมือนกับเป็นบอสตัวที่หนึ่งที่รอให้ตัวละครเอกมาตบเท่านั้น ช่างเถอะช่างเถอะ สิบอันดับแรกยังไงก็ขอผ่านก่อน ยังไงก็ดูจากอันดับรั้งท้ายที่มีสถานภาพของการเป็นตัวละครเอกกันก่อนก็แล้วกัน !
เฉินหมิงพลิกไปดูหน้าสุดท้ายทันที จ้าวชิงเหยา อายุสิบสามปี ขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่หนึ่ง พรสวรรค์สุดย่ำแย่ สถานะทางครอบครัวเองก็ตกต่ำข้นแค้น บุพการีล้มหายตายจาก เดินทางข้ามผ่านขุนเขานับสิบหมื่นมาเพื่อฝากตัวเป็นศิษย์ มีจิตใจที่มุ่งมั่น ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก จนพอที่จะฝืนถูกบันทึกไว้ในรายชื่อได้
เฉินหมิงสาดแววตาเป็นประกายขึ้นวูบ เด็กคนนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเป็นสัตว์ประหลาดก็ว่าได้!
ใจกลางขุนเขานับสิบหมื่นเป็นสถานที่ซึ่งมีเผ่าปีศาจอสูรร้ายอยู่นับไม่ถ้วน ทว่าเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยู่ในขอบเขตกลิ่นอายวิถีขั้นที่หนึ่ง กลับมีชีวิตรอดออกมาได้ แน่นอนว่าต้องมีความสามารถที่สุดโกงอยู่อย่างแน่นอน !
อะไรนะ คุณจะบอกว่านางก็แค่โชคดี ความจริงแล้วกลับไม่ได้มีอะไรโกงเลยอย่างงั้นเหรอ? ถ้าหากนางไม่ได้โกง ขุนเขาใหญ่นับสิบหมื่น ที่มีมารปีศาจอยู่หลายสิบหมื่น กลับทำให้นางตายไม่ได้ ด้วยวาสนาที่พลิกฟ้าขนาดนี้ คุณยังจะบอกว่านางไม่ใช่ตัวละครเอกอีก นี่คุณกำลังล้อเล่นอะไรกันอยู่ !
จ้าวชิงเหยายืนอยู่ทางด้านหลังสุดของบรรดาศิษย์ที่มีกันอยู่มากมาย กำลังมองขึ้นไปยังเฉิน หมิงที่อยู่บนแท่นสูงพลิกดูรายชื่อผู้สมัครอยู่ บรรดาผู้เยาว์ในสิบอันดับแรกถึงกับก้าวไปด้านหน้าอยู่หลายก้าวโดยไม่รู้ตัว เพื่อต้องการให้เฉินหมิงเห็นตนได้ชัดเจนยิ่งกว่าเดิม บ้างก็กระตุ้นพลังความสามารถของตัวเองออกมา หวังจะได้รับการคัดเลือกจากเฉินหมิง
จ้าวชิงเหยาไม่เคยคิดว่าตนเองจะได้ถูกรับเลือกมาก่อน พรสวรรค์ในการบำเพ็ญตบะของตนเองก็ย่ำแย่เกินไปนัก ถึงแม้ว่าในยามที่ตนเองดูดซับปราณเข้าสู่ร่างจะเหนือกว่าคนปกติ แต่การกักเก็บพลังไว้ในเส้นโลหิตภายในร่างกลับน้อยเป็นอย่างยิ่ง แถมตนเองยังมีน้องชายอีกคน ที่ถูกเจ้าเมืองจับตัวไปเป็นทาส ตนเองจึงต้องฝึกปรือเพื่อเป็นเซียนให้จงได้ จากนั้นก็จะกลับไปช่วยน้องชายของตน
นางเองก็รู้ว่าคงจะไม่มีเซียนคนใดมาถูกตาต้องใจตัวเองแน่ แต่ว่าขอเพียงตนเองได้ฝึกปรือเคล็ดวิชา ก็ยังพอมีความหวังอยู่
เมื่อมองขึ้นไปด้านบนหอคอย เฉินหมิงที่มีบุคลิกสูงสง่าดั่งเซียนได้หันไปมองบรรดาผู้เยาว์ที่อยู่ด้านล่างของหอคอย กวาดประกายแววตาอันเย็นเยียบไปจนทั่ว แล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เฉยชา : “จ้าวชิงเหยาอยู่หรือไม่?”
บรรดาผู้เยาว์ล้วนมองไปทุกสารทิศ ไม่ทราบว่าจ้าวชิงเหยาผู้โชคดีนั้นเป็นใคร จ้าวชิงเหยาหันไปมองยังเฉินหมิงผู้ซึ่งมีใบหน้าหล่อเหลาคมคายที่อยู่บนหอคอย ท่านผู้นี้เป็นตำนานที่ยังมีชีวิตอยู่ กำลังเรียกตนอยู่งั้นเหรอ?
เฉินหมิงหัวเราะขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น มีใบหน้าสุภาพเรียบร้อย พร้อมกับพูดขึ้นอีกครั้ง : “จ้าวชิงเหยาอยู่หรือไม่? ”
จ้าวชิงเหยาที่กอดความหวังไว้เต็มอกก้าวขึ้นไปด้านหน้าอย่างช้าๆ หันไปยกมือคารวะต่อเฉินหมิงอย่างแช่มช้า แล้วกล่าว : “ผู้น้อยคือจ้าวชิงเหยา”
เฉินหมิงก้าวลงมาจากหอคอยสูงอย่างช้าๆ เดินมาถึงเบื้องหน้าของจ้าวชิงเหยา หันไปยิ้มน้อยๆ ให้กับจ้าวชิงเหยา พร้อมกับกล่าววาจาที่ยากจะเชื่อได้ออกมาว่า : “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้น เจ้าจะเป็นศิษย์คนโตในความดูแลของข้า”
.
.
.
.
[1] ดัชนีทองคำ อุปมาว่า มีสิ่งของที่สุดโกง ทำได้ทุกอย่าง
[2] สินค้าตามแผ่นดินใหญ่ อุปมาว่า เป็นสิ่งที่มีอยู่กันไปทั่วมากมายในแผ่นดินใหญ่ (จีน)
[3] 1 ฉื่อ = 10 นิ้ว (ราวๆ 1 ฟุต) จั้ง 1 จั้ง = 10 ฉื่อ (พันจั้งจะเท่ากับหมื่นฟุต).
ไม่มีคอมเม้น